Alzheimer's Disease & Dementia โรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม Management

Last updated: 25 November 2025

การรักษาด้วยยา

สำหรับการรักษาเริ่มต้นนั้น บุคลากรทางการแพทย์ควรอธิบายให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจว่าการใช้ยาจะไม่สามารถรักษาภาวะสมองเสื่อมให้หายขาดได้ และอาจไม่ได้ผลกับทุกราย แม้ว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาตามอาการและมีการตอบสนองที่ดี หรือสามารถหยุดการรุดหน้าของโรค อย่างไรก็ตามผู้ป่วยอาจมีความเสื่อมถอยของปริชานในระหว่างการรักษา ความสำคัญของการรักษาโดยพิจารณาการตอบสนองต่อการใช้ยานั้นควรทำการติดตามสภาวะปริชาน พฤติกรรม และประโยชน์ต่อการทำงานต่าง ๆ หากมีความจำเป็นสามารถทำการเพิ่มขนาดยา และเปลี่ยนแปลงการใช้ยาได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยควรได้รับการประเมินความรุนแรงของโรคก่อนที่จะเริ่มใช้ยาทุกครั้ง 


การรักษาด้วยการใช้ยาสำหรับอาการทางปริชาน 

ยาในกลุ่ม cholinesterase Inhibitors 
ยาในกลุ่มนี้ควรพิจารณาในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ทุกระยะ จากการออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ cholinesterase ใน synaptic cleft จะทำให้เพิ่ม cholinergic function ในระบบประสาทส่วนกลาง สำหรับยา donepezil จะยับยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase ส่วนยา galantamine จะยับยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase พร้อมกับให้ฤทธิ์ allosteric modulation ต่อ nicotinic receptors ส่วนยา rivastigmine จะยับยั้งทั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase และ butyrylcholinesterase ยาในกลุ่ม cholinesterase inhibitors จะช่วยทำให้ปริชาน พฤติกรรม และประสิทธิภาพในการทำงานต่าง ๆ ที่บกพร่องไปให้ดีขึ้นในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ยาในกลุ่มนี้สามารถให้ในผู้ป่วยที่มีภาวะ DLB ได้เช่นกัน ทั้งยา donepezil และ galantamine พบว่าจะให้ประสิทธิภาพพอประมาณ (modest efficacy) ในการรักษาภาวะเสื่อมถอยทางปริชานในผู้ป่วย vascular dementia หรือ mixed dementia อย่างไรก็ตาม การใช้ยายังมีข้อที่ควรระวัง แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถทนต่ออาการไม่พึงประสงค์ได้ดีของยาในกลุ่ม cholinesterase inhibitors ซึ่งอาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้บ่อยได้แก่ อาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย ยาในกลุ่มนี้ไม่แนะนำในการรักษา FTD และ MCI 

Donepezil  
Donepezil มีประสิทธิภาพในการเพิ่มการทำงานของภาวะปริชานจากการประเมินโดย cognitive subscale สำหรับ assessment scale ในโรคอัลไซเมอร์ จากการศึกษาพบประสิทธิภาพของการใช้ donepezil ในการลดพฤติกรรมและอาการทางจิตประสาทในผู้ป่วยสมองเสื่อมระดับน้อยถึงปานกลาง นอกจากนี้ donepezil สามารถใช้ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ในระยะน้อยถึงปานกลาง และยาได้รับการรับรองในการใช้ในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ และ DLB ระยะที่รุนแรง  

Galantamine  
Galantamine มีประสิทธิภาพช่วยให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และมีผลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ galantamine สามารถใช้ในผู้ป่วย DLB ระยะน้อยถึงปานกลางที่ไม่สามารถทนต่อการใช้ยา donepezil หรือ rivastigmine ได้ การใช้ galantamine ในขนาดสูงจะมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีกว่าขนาดต่ำ แต่ขนาดยา >24 มิลลิกรัม/วัน นั้นไม่พบว่าจะได้ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มขนาดยา galantamine อย่างช้า ๆ จะทำให้ผู้ป่วยสามารถทนต่อการใช้ยาได้มากขึ้น จากหลักฐานทางวิชาการพบว่าการใช้ galantamine จะให้ประโยชน์ช่วยให้ภาวะปริชานในผู้ป่วยที่มี mixed AD และโรคหลอดเลือดสมองดีขึ้น 

Rivastigmine  

Rivastigmine มีประสิทธิภาพช่วยให้ภาวะปริชาน และการทำงานโดยรวม (global function) ในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ระยะน้อยถึงระยะปานกลางค่อนข้างรุนแรง (moderately severe) จากการศึกษาชนิดการวิเคราะห์อภิมานพบว่า rivastigmine จะให้ประโยชน์ในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ที่มีการรุดหน้าของอาการอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับการใช้ในกลุ่มที่มีการรุดหน้าของโรคอย่างช้า ๆ จากการศึกษายังพบประสิทธิภาพของ rivastigmine ต่อการรักษาความบกพร่องของปริชานในผู้ป่วย DLB นอกจากนี้ การใช้ยาในรูปของแผ่นแปะ (transdermal patch) จะให้ประโยชน์ในด้านการลดอาการไม่พึงประสงค์ในระบบทางเดินอาหาร และมีระดับยาที่คงที่ต่อเนื่องตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง และง่ายต่อการบริหารยาผู้ป่วย การใช้ยาในรูป transdermal patch นี้ได้รับการรับรองในการรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ในทุกระยะ ยา rivastigmine ยังสามารถใช้ในผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมระยะน้อยถึงปานกลางที่สัมพันธ์กับโรคพาร์กินสันและ DLB ระยะรุนแรงด้วย 
“ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการรักษาโรค สามารถสืบค้นได้ที่หัวข้อ โรคพาร์กินสัน และโรคพาร์กินสัน ชนิด dementia” 

Donanemab และ Lecanemab 
ยาทั้งสองตัวอยู่ในกลุ่ม β-directed antibodies สำหรับการรักษาโรคอัลไซเมอร์ที่มีการยืนยันผลทางพยาธิวิทยาของ amyloid จากการศึกษาพบว่าการใช้ยาที่สามารถลด amyloid β plaques ได้อย่างมีนัยสำคัญขึ้นกับขนาดยา และระยะเวลาในการใช้ยา เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก ในการศึกษาผู้ป่วยที่ใช้ donanemab พบว่าสามารถชะลอการลดลงทางคลินิกได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกในการประเมินด้วยการใช้สเกลมาตรฐานสำหรับโรคอัลไซเมอร์ ส่วนยา lecanemab ได้รับการรับรองการใช้ (ภายใต้เงื่อนไข accelerated approval) โดยองค์การอาหารและยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ในการใช้เป็นยาเริ่มต้นในผู้ป่วยที่มีภาวะปริชานบกพร่องเล็กน้อย หรือโรคอัลไซเมอร์ ที่มีภาวะสมองเสื่อมในระดับน้อย อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังขาดข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้เป็นการรักษาเริ่มต้นในระยะแรก หรือระยะท้ายของโรค 

Memantine  
Memantine คือยาในกลุ่ม noncompetitive NMDA-receptor antagonist ใช้สำหรับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ระยะปานกลาง ถึงรุนแรง อาจใช้เป็นยาเดี่ยว (monotherapy) ในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ระยะน้อยถึงปานกลาง หากผู้ป่วยมีข้อห้ามใช้ยาในกลุ่ม cholinesterase inhibitors หรือไม่ทนต่อการใช้ยา หรือในกรณีที่โรคมีความรุดหน้ามากขึ้นแม้ว่าจะได้การรักษาโดยยาในกลุ่ม cholinesterase inhibitors อย่างเพียงพอแล้ว จากหลักฐานทางวิชาการปัจจุบันพบว่ายานี้แนะนำการใช้ร่วมกับยาในกลุ่ม cholinesterase inhibitors เพื่อเพิ่มโอกาสในการชะลอการดำเนินไปของโรคได้เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ cholinesterase inhibitors เดี่ยว ๆ ในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ในระดับปานกลางถึงรุนแรง การศึกษาพบประสิทธิภาพช่วยให้ภาวะปริชานในทุกระดับความรุนแรงของโรคอัลไซเมอร์ดีขึ้น อย่างไรก็ตามผลทางด้านพฤติกรรม การใช้ชีวิตประจำวัน และผลลัพธ์โดยรวมนั้นจะพบประโชน์อย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ระยะปานกลางถึงรุนแรง 


ยาอื่นในการรักษาอาการทางปริชาน 

Cerebrolysin  
Cerebrolysin คือ no-otropic agent ที่ประกอบไปด้วย low molecular weight peptides 25% และ free amino acids ที่สร้างจาก biotechnologically standardized enzymatic breakdown ของโปรตีนบริสุทธิ์จากสมองของสุกร จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์ cerebrolysin นั้นสามารถทนต่อการใช้ยาได้ดี จากข้อมูลทางคลินิกในปัจจุบัน พบว่า cerebrolysin มีประโยชน์ในการรักษาเสริมไปกับการรักษาภาวะสมองเสื่อม 

Ginkgo biloba (EGb 761) 
Ginkgo biloba (EGb 761) เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่พัฒนามาจากใบแปะก๊วย และมีการศึกษาทางคลินิกในการสนับสนุนประสิทธิภาพในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ และ vascular dementia กลไกการออกฤทธิ์ที่เป็นไปได้ (potential mechanism of action) ได้แก่ฤทธิ์ในการต้านเกล็ดเลือด vasoactive effects การเพิ่ม neuron tolerance to anoxia และการป้องกัน membrane damage ที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระ การศึกษาส่วนใหญ่พบว่าการใช้ Ginkgo biloba มีความปลอดภัย และมีอาการไม่พึงประสงค์เล็กน้อย 

Selegiline  
Selegiline คือยาในกลุ่ม selective monoamine oxidase-B (MAO-B) inhibitor ที่มีกลไกในการต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือ neuroprotective agents ในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาทางด้านประสิทธิภาพในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ปัจจุบันยังมีค่อนข้างน้อย  

Vitamin E 
โดยทั่วไป vitamin E นั้นไม่แนะนำในการรักษาอาการบกพร่องทางปริชานที่เกิดในภาวะสมองเสื่อม จากข้อจำกัดทางด้านหลักฐานทางวิชาการที่แสดงถึงประสิทธิภาพ และประเด็นทางด้านความปลอดภัย หลังจากการพิจารณาทั้งประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับ และโทษจากการใช้ vitamin E แล้ว  แพทย์อาจพิจารณาเลือกให้ในขนาด ≤400 IU/วัน จากการศึกษาพบว่าการใช้ vitamin E ในขนาด >400 IU/วัน จะเพิ่มอัตราการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ จากการศึกษาพบข้อกังวลด้านความปลอดภัย ได้แก่ ขนาดยาที่สูงขึ้นสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิต (dose-dependent mortality) และอัตราการเกิดหัวใจล้มเหลวที่เพิ่มขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคในระบบหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้การใช้ vitamin E ยังพบความสัมพันธ์กับความบกพร่องของการแข็งตัวของเลือด (coagulation defects) ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีการขาด vitamin K 


การรักษาด้วยยาสำหรับกลุ่มอาการทางระบบ neuropsychiatric  

การรักษา psychosis และ agitation

การรักษานี้จะใช้เมื่อผู้ป่วยล้มเหลวต่อการรักษาโดยการไม่ใช้ยา (เช่น การค้นหาและการรักษาที่สาเหตุ การให้จิตบำบัด การให้ความรู้ผู้ป่วย และการประสานความร่วมมือกับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และครอบครัว เป็นต้น) หรือผู้ป่วยมีพฤติกรรมบางอย่างที่รุนแรง เช่น กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการก้าวร้าวที่อาจเกิดอันตราย จุดประสงค์ของการรักษานี้ คือ การลดอาการทางด้าน psychotic (เช่น อาการหวาดระแวง (paranoia), ประสาทหลอน (hallucination) เป็นต้น) และอาการที่สัมพันธ์กับ independent symptoms (เช่น อาการกรีดร้อง และใช้ความรุนแรง) การใช้ยาในภาวะดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความสุขสบาย และความปลอดภัยต่อตัวผู้ป่วย และครอบครัว การรักษานี้ควรประเมินตามระดับของอาการกระสับกระส่าย (agitation) ที่ผู้ป่วยมี และความเสี่ยงต่อผู้ดูแล และต่อตัวผู้ป่วยเอง พฤติกรรมที่รุนแรงนี้ควรได้รับการรักษาด้วยการใช้ยา สาเหตุของอาการกระสับกระส่ายควรได้รับการประเมินทุกครั้ง หากผู้ป่วยมีอาการอย่างต่อเนื่องแบบซ้ำ ๆ การประเมินทาง psychosocial ควรถูกนำมาพิจารณาเป็นการรักษาลำดับแรก การรักษาด้วยการใช้ยาควรใช้อย่างระมัดระวังหากการใช้ไม่ประสบความสำเร็จในการรักษา หรือผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่ายที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อตัวผู้ป่วยหรือผู้ดูแล 

ยาในกลุ่ม antidementia agents 
ยา donepezil อาจนำมาใช้ในการรักษาอาการทางด้านลบ (negative symptoms) เช่น aberrant motor behavior, apathy, ความวิตกกังวล และอาการซึมเศร้า ในขณะที่การใช้ยา memantine นั้นจะใช้สำหรับการรักษาอาการทางบวก (positive symptoms) เช่น อาการกระสับกระส่าย ก้าวร้าว irritability ประสาทหลอน และอาการหลงผิด นอกจากนี้ ยา rivastigmine ยังสามารถใช้ในการรักษาอาการที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม และอาการทางจิตสำหรับโรค DLB อีกด้วย 

Antipsychotics  
ก่อนการใช้ยาในกลุ่ม antipsychotics ควรทำการประเมินเหตุผลของอาการ distress และตรวจสอบ รวมทั้งค้นหาสาเหตุทางคลินิก หรือสาเหตุทางสภาวะแวดล้อม (เช่น อาการหลงผิด อาการเพิกเฉย อาการปวด) ร่วมด้วย การใช้ยาจะเป็นการรักษาลำดับแรกสำหรับอาการทาง psychotic จากภาวะสมองเสื่อม ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น และในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะ severe distress ที่มีอาการกระสับกระส่าย ภาวะหลงผิด หรือประสาทหลอน ขนาดยาและความจำเป็นในการใช้ยาควรได้รับการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งควรทำการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดทุกครั้ง ทั้งนี้แนะนำการใช้ยาในขนาดยาต่ำสุดและระยะเวลาสั้นที่สุดที่สามารถใช้ได้ หากผู้ป่วยเกิดอาการข้างเคียงสามารถทำการลดขนาดยาลงได้ จากแนวทางการรักษาโดย American Psychiatric Society แนะนำการลดขนาดยา (tapering the dose) ภายใน 16 สัปดาห์หลังการเริ่มยา การรักษาผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะ dementia-related psychosis นั้นพึงระวังว่าการใช้ยาในกลุ่ม antipsychotics อาจสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคในระบบหัวใจและหลอดเลือด และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการเสียชีวิตด้วย 

การรักษาด้วยยาควรได้รับการประเมินในทุก 6 สัปดาห์ การใช้ antipsychotics อาจพิจารณาในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการทางพฤติกรรม และ psychological อย่างรุนแรง ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ยานี้ไม่แนะนำในทางปฏิบัติในผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อม ร่วมกับมีพฤติกรรมก้าวร้าว และอาการทางจิต การใช้ยาในกลุ่ม atypical antipsychotics มีข้อมูลการทนต่อยาได้ดี หลักการเลือกยานั้นให้พิจารณาจากข้อมูลอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย การใช้ antipsychotics นั้นโดยทั่วไปจะให้ตอนเย็นเพื่อช่วยเพิ่มการนอนหลับ และรักษา sundowning การบริหารยาทางการรับประทานนั้นเป็นรูปแบบการบริหารยาที่แนะนำ การใช้ยาสำหรับรักษาโรคอัลไซเมอร์ และ vascular dementia (เช่น memantine, cholinesterase inhibitors) ควรพิจารณาการใช้อย่างเหมาะสมเป็นอันดับแรก และให้ในขนาดยาที่เหมาะสมที่สามารถควบคุมพฤติกรรมของผู้ป่วยได้ brexpiprazole ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับการรักษาอาการกระสับกระส่ายที่สัมพันธ์กับภาวะสมองเสื่อม ที่เกิดจากโรคอัลไซเมอร์ 

Benzodiazepines 
ยาในกลุ่มนี้เหมาะสำหรับการรักษาอาการกระสับกระส่ายหรือก้าวร้าว ซึ่งเป็นอาการแสดงเด่นของภาวะวิตกกังวล ยากลุ่มนี้เหมาะสำหรับการใช้เริ่มต้นในผู้ป่วยที่มีอาการกระสับกระส่ายหรือก้าวร้าวเป็นบางครั้ง หรือผู้ป่วยที่ต้องการฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน (sedation) กรณีจำเป็น เช่น การเข้ารับบริการทางทันตกรรม ยากลุ่มนี้โดยทั่วไปจะไม่ใช้ในภาวะสมองเสื่อมถ้าไม่จำเป็น การใช้ยาในกลุ่ม benzodiazepines จะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะการขาดความยับยั้งชั่งใจ (disinhibition) การนอนหลับที่มากเกินไป (over sedation) การหกล้ม (falls) และภาวะหลงลืม (delirium) ทั้งนี้แนะนำการใช้ยาที่ออกฤทธิ์สั้น (short-acting agents) หรือยาที่ไม่ต้องอาศัยการเปลี่ยนสภาพยา เมื่อเริ่มให้การรักษาด้วย benzodiazepines ควรเริ่มให้ยาในขนาดต่ำ และเพิ่มขนาดยาอย่างระมัดระวัง ในผู้สูงอายุจะเพิ่มความไวต่ออาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ benzodiazepines  ได้ 


การรักษาภาวะซึมเศร้า (depression) และอาการเฉยเมย (apathy) 

Antidepressants  
ยากลุ่ม tricyclic antidepressants (TCAs), MAO inhibitors (MAOIs), และ selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) สามารถใช้ในการรักษาภาวะซึมเศร้าได้ ในระหว่างยา 3 กลุ่มนี้ SSRIs เป็นยาที่แนะนำมากที่สุด มีการศึกษาที่พบว่าสามารถปรับภาวะความบกพร่องทางปริชานบางส่วนให้ดีขึ้นในการรักษาภาวะซึมเศร้า การเลือกชนิดของยานั้นขึ้นกับอันตรกิริยาของยา อาการไม่พึงประสงค์จากยา และผลการออกฤทธิ์ที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น การใช้ยาในกลุ่ม TCAs จะมีอาการข้างเคียงในระบบหัวใจและหลอดเลือดอย่างมีนัยสำคัญ และมีฤทธิ์ anticholinergic  ในขณะที่การใช้ยาในกลุ่ม SSRIs จะมีข้อมูลที่ดีกว่าในแง่ของอาการไม่พึงประสงค์ สำหรับการใช้ยาในกลุ่ม MAOI จะต้องจำกัดการบริโภคอาหารบางประเภท (เช่น อาหารที่มีส่วนประกอบของ tyramine ในปริมาณสูง) รวมทั้งต้องระวังการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา และอาการไม่พึงประสงค์จากยา หลักการให้ขนาดยาเริ่มต้นของ antidepressants นั้นใกล้เคียงกับ benzodiazepines คือการเริ่มยาในขนาดต่ำ และเพิ่มขนาดยาด้วยความระมัดระวัง ในผู้สูงอายุจะมีความไวต่อการเกิดอาการข้างเคียงจากการใช้ antidepressants ได้ง่าย ยากลุ่มนี้ไม่มีประสิทธิภาพสำหรับอาการทางพฤติกรรมและอาการทางจิตเวชของภาวะสมองเสื่อมชนิด FTD 

Alzheimers Disease & Dementia_Management 1Alzheimers Disease & Dementia_Management 1

การรักษาที่ไม่ใช้ยา

การรักษาสนับสนุน 

ในการรักษาภาวะสมองเสื่อม การบำบัดทางจิตใจ (psychosocial intervention) ควรปรับให้เหมาะสมต่อความต้องการของผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการคงสภาพการทำงานของระบบปริชาน และสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งการรักษาด้วยการไม่ใช้ยานี้จะประกอบด้วยการรักษาสนับสนุนและการทำจิตบำบัด (psychotherapy) 

การให้ความรู้แก่ผู้ป่วย ผู้ดูแล และบุคลากรทางการแพทย์ 
การสื่อสารที่ดีนั้นต้องการความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแพทย์ ผู้ป่วย และครอบครัว การให้ความรู้ และเครื่องมือด้วยการสนับสนุนต่าง ๆ อย่างเข้มข้นในระยะยาวแก่ผู้ดูแล อาจช่วยชะลอเวลาการส่งผู้สูงอายุเข้าบ้านพักผู้สูงอายุ การให้ความรู้แก่ทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลเกี่ยวกับโรคและการรักษาที่มีอยู่นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง แพทย์ควรใส่ใจในข้อกังวลเกี่ยวกับอาการทางพฤติกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับการสูญเสียสถานะ ศักดิ์ศรี และความต้องการการสนับสนุนจากผู้ดูแลที่เพิ่มขึ้น ควรให้ความมั่นใจแก่ทั้งสองฝ่ายว่าเรื่องเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของโรคที่เกิดจากความเสียหายโดยตรงต่อสมอง และโดยทั่วไปโรคสามารถควบคุมได้ด้วยการรักษา การให้ความสำคัญกับการรักษาอย่างต่อเนื่องสำหรับภาวะสมองเสื่อม และการติดตามผลเป็นประจำเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมาก การสอนผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ดูแลคนอื่น ๆ ให้รู้จักอาการและเตรียมพร้อมต่อการแสดงอาการในอนาคตเป็นสิ่งสำคัญ การให้ความรู้แก่ผู้ดูแลเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานของการดูแลผู้ป่วยก็สามารถช่วยผู้ป่วยในการรักษาโรคได้เช่นกัน การให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่บ้านพักผู้สูงอายุอาจช่วยลดการใช้อุปกรณ์ยึดรั้งทางกายภาพและการใช้ antipsychotics โดยไม่จำเป็น 

แนวทางปฏิบัติ
  • คำขอควรเรียบง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลีกเลี่ยงการให้ผู้ป่วยทำในสิ่งที่ซับซ้อน ซึ่งอาจนำไปสู่ความคับข้องใจได้ 
  • หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า หากผู้ป่วยมีอาการโกรธ ควรหลีกเลี่ยงการโต้แย้งและเลื่อนคำขอออกไปก่อน  
  • มีความสม่ำเสมอและหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่จำเป็น  
  • คอยเตือน ให้คำอธิบาย และชี้แนะให้ผู้ป่วยรับรู้เวลาและสถานที่อยู่เสมอ  
  • ยอมรับการถดถอยของความสามารถของผู้ป่วย และปรับความคาดหวังให้เหมาะสม  
  • ขอความช่วยเหลือจากบุคลากรทางการแพทย์ เมื่อพบว่าผู้ป่วยมีการเสื่อมสมรรถภาพอย่างฉับพลัน หรือเมื่อผู้ป่วยมีอาการใหม่ ๆ เกิดขึ้น 

การสนับสนุนผู้ดูแล

การสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้ดูแลมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงจากการดูแลที่ไม่ได้มาตรฐาน การละเลย หรือการล่วงละเมิดได้ สามารถแนะนำผู้ดูแลให้เข้าร่วมเครือข่ายกลุ่มสนับสนุนหรือการรวมกลุ่มทำ workshop การเรียนรู้เชิงจิตวิทยาได้ หากเป็นไปได้ ควรมีบริการพักฟื้นผู้ดูแล (เช่น พยาบาลเยี่ยมบ้าน โปรแกรมดูแลรายวัน การพักระยะสั้นในบ้านพักผู้สูงอายุ เป็นต้น) เพื่อให้ผู้ดูแลได้มีช่วงเวลาพักผ่อน นอกจากนี้ บริการเหล่านี้ยังช่วยให้ผู้ดูแลสามารถทำงานต่อหรือปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ และช่วยบรรเทาความเครียดและปัญหาอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลระยะยาวได้ 

ประเด็นทางการเงินและกฎหมาย 
ผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมมักจะสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจเกี่ยวกับการแพทย์ กฎหมาย และการเงินเมื่อโรคมีความรุนแรงขึ้น ผู้ดูแลสามารถขอคำแนะนำจากผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลระยะยาวในขณะที่ผู้ป่วยยังสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจได้ ผู้ป่วยอาจต้องการมอบอำนาจในการตัดสินใจด้านกฎหมายและการเงินให้แก่สมาชิกครอบครัวหรือเพื่อนที่ไว้วางใจ เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากและค่าใช้จ่ายในการร้องขอต่อศาลเพื่อขอความคุ้มครองหรือการเป็นผู้จัดการดูแลทรัพย์สินในภายหลัง ควรเริ่มทำการพูดคุยเกี่ยวกับความต้องการของผู้ป่วยในการรักษาทางการแพทย์ตั้งแต่ระยะแรกของโรค (เช่น การเข้าอยู่ในบ้านพักผู้สูงอายุ การใช้เครื่องช่วยชีวิต เป็นต้น) เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถแสดงความประสงค์ของตนเองได้ ควรให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและผู้ดูแลเกี่ยวกับความสำคัญของการวางแผนทางการเงินสำหรับการรักษาและการดูแลในอนาคต นอกจากนี้ ควรแนะนำให้ผู้ป่วยดำเนินการจัดทำหรือปรับพินัยกรรม สร้างความไว้วางใจที่เหมาะสม และโอนทรัพย์สินในช่วงแรกของโรคเมื่อผู้ป่วยยังมีสภาพจิตใจที่มีความสามารถในการตัดสินใจ 


จิตบำบัดหรือการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติ 

จิตบำบัดอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมบางราย โดยจุดมุ่งหมายของการทำจิตบำบัดนั้นเพื่อที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของผู้ป่วยภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่ พร้อมทั้งส่งเสริมภาวะปริชาน ความเป็นอิสระ และความเป็นอยู่ที่ดี การเลือกวิธีการบำบัดควรขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้ป่วย ความต้องการ ความพร้อมในการเข้าถึง และค่าใช้จ่าย การรักษาต้องปรับให้เหมาะสมกับความสามารถด้านปริชานและความสามารถในการทนต่ออาการไม่พึงประสงค์ในผู้ป่วยแต่ละราย เนื่องจากพบรายงานผลกระทบทางอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ การทำจิตบำบัดนี้ควรกระทำอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่มีผลในระยะยาว 

การบำบัดพฤติกรรม 
การบำบัดพฤติกรรมนั้นอิงตามหลักการของทฤษฎีการปรับพฤติกรรมและการเรียนรู้ โดยมีเป้าหมายเพื่อกำจัดหรือระงับอาการพฤติกรรมและจิตวิทยาที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของการบำบัดพฤติกรรมในผู้ป่วยสมองเสื่อมจะมีหลักฐานสนับสนุนในบางกรณีเท่านั้น 

การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม 
ข้อมูลการศึกษาหนึ่งพบว่าการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรมให้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะเริ่มต้นของโรคอัลไซเมอร์ การบำบัดนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขความบกพร่องที่เกิดจากผลกระทบของการบกพร่องทางปริชานต่อกิจกรรมในชีวิตประจำวัน (ADL) โดยเน้นการปรับปรุงหรือการคงไว้ซึ่งการทำงานในชีวิตประจำวัน การเพิ่มความแข็งแรง การชดเชยความบกพร่อง และการส่งเสริมความเป็นอิสระ การกระตุ้นภาวะปริชานช่วยให้ผู้ป่วยได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมและการสนทนาที่หลากหลาย นอกจากนี้ การฝึกอบรมภาวะปริชานสามารถนำมาปรับให้เหมาะสมกับระดับกิจกรรมของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อสะท้อนถึงหน้าที่ของปริชานเฉพาะด้าน 

การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติ 
การฝึกอบรมนี้เน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและกิจกรรมในชีวิตประจำวัน (ADL) การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติรวมถึงกิจกรรม เช่น การฝึกทักษะหรือการวางแผนกิจกรรม การออกกำลังกาย เทคโนโลยีช่วยเหลือ และโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพ (เช่น กิจกรรมบำบัด กายภาพบำบัด) ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถดูแลช่วยเหลือตนเองได้

Alzheimers Disease & Dementia_Management 2Alzheimers Disease & Dementia_Management 2


การบำบัดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 
การบำบัดประเภทนี้เน้นที่ข้อถกเถียงระหว่างบุคคล ปัญหาบุคลิกภาพหรือความสัมพันธ์ การสูญเสียคนที่รัก และเหตุการณ์หรือช่วงเปลี่ยนผ่านในชีวิต โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยผู้ป่วยให้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้าในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางอาจได้รับการบำบัดแบบมุ่งเน้นความผูกพัน (attachment-focused therapies) ในรูปแบบที่มีโครงสร้างและใช้เวลาสั้น ๆ 

การบำบัดด้วยการรับรู้ตามความเป็นจริง 
การบำบัดด้วยการรับรู้ตามความเป็นจริงเป็นหนึ่งในวิธีการที่ใช้บ่อยที่สุด โดยการช่วยให้ผู้ป่วยที่มีภาวะสูญเสียความทรงจำและสับสนให้ระลึกถึงข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังช่วยปรับผู้ป่วยให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมโดยการกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและการรับรู้ตามความเป็นจริงแบบซ้ำ ๆ (เช่น เวลา สถานที่ บุคคล) โดยเกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์ที่ช่วยในการรับรู้ตามความเป็นจริงอย่างสม่ำเสมอ เช่น ป้ายประกาศ การแจ้งเตือน และอุปกรณ์ช่วยความจำ การบำบัดด้วยการรับรู้ตามความเป็นจริงอาจช่วยชะลอการบกพร่องปริชาน และอาจช่วยชะลอการส่งต่อผู้ป่วยไปยังบ้านพักผู้สูงอายุ 

การบำบัดด้วยการระลึกความทรงจำ 
การบำบัดนี้ช่วยผู้ป่วยโดยการทำให้ระลึกถึงประสบการณ์ในอดีตที่เป็นบวกและมีความสำคัญต่อบุคคล การบำบัดประเภทนี้ส่งเสริมการฟื้นฟูคุณค่าในตนเอง การเพิ่มแรงจูงใจ ความเป็นอยู่ที่ดี การดูแลตนเอง พฤติกรรม และการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม  

การบำบัดด้วยการยอมรับ 
การบำบัดนี้เกี่ยวข้องกับการยอมรับและสนับสนุนความรู้สึกและความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมและคำพูดของผู้ป่วย การบำบัดด้วยการยอมรับช่วยส่งเสริมความพึงพอใจ ช่วยลดการเกิดอารมณ์เชิงลบและปัญหาทางพฤติกรรม 

การบำบัดความจำเหตุการณ์ที่ใช้ภาษา 
ในการบำบัดประเภทนี้ จะมีการทดสอบความจำเหตุการณ์ (episodic memory) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และประสบการณ์ในอดีตทั้งที่เพิ่งเกิดขึ้นและมานานแล้ว โดยใช้สื่อที่เป็นภาษาพูดหรือภาพ การทดสอบความจำเหตุการณ์ที่ใช้ภาษาจะให้ผู้ป่วยอ่านรายการคำศัพท์หรือเรื่องสั้น แล้วให้เรียกคืนความจำทันทีและหลังจากผ่านไปหนึ่งวัน 

การบำบัดทางเลือก 
การบำบัดอื่นๆ รวมถึงอโรมาเธอราพี การนวดและการบำบัดด้วยการสัมผัส ศิลปะ กิจกรรมต่างๆ (เช่น กีฬา การแสดง การเต้นรำ) การบำบัดด้วยแสงและดนตรี 

Alzheimers Disease & Dementia_Management 3Alzheimers Disease & Dementia_Management 3

Alzheimers Disease & Dementia_Management 4Alzheimers Disease & Dementia_Management 4

การป้องกัน

ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม ได้แก่:

การลดความเสียหายทางพยาธิวิทยาของระบบประสาท (amyloid or tau mediated, vascular หรือ inflammatory) 

  • หลีกเลี่ยงหรือหยุดสูบบุหรี่ 
  • จัดการเพื่อควบคุมโรคเบาหวาน
  •  ป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะ
  • ลดมลพิษทางอากาศ
  • ลดภาวะอ้วนในวัยกลางคน
  • รักษาโรคความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดผิดปกติ
  • การรักษาทางด้านโภชนาการ (เช่น การรับประทานอาหารคล้ายอาหาร Mediterranean การบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และเชิงซ้อนในระดับสูง) 


การเพิ่มและรักษาสมรรถนะทางปริชาน 

  • เข้าร่วมการศึกษาระดับสูง  
  • รักษาการติดต่อและมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างสม่ำเสมอ  
  • รักษาปัญหาการได้ยินและการมองเห็น 


การลดความเสียหายทางระบบประสาท และการเพิ่มและรักษาสมรรถนะทางปริชาน 

  • หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก 
  • รักษาการออกกำลังกายหรือกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอ
    • แนะนำให้มีการออกกำลังกายแบบแอโรบิกชนิดปานกลาง (moderate intensity) อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือออกกำลังกายแบบแอโรบิกชนิดสูง (vigorous intensity) อย่างน้อย 75 นาทีต่อสัปดาห์ในผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป  
  • ลดการเกิดภาวะซึมเศร้า