
จากรายงานขององค์การอนามัยโลก พบว่า มีผู้ป่วยโรคลมชักทั่วโลกประมาณ 50 ล้านคน 1 ในขณะที่ประเทศไทย ณ ปี พ.ศ. 2557 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานความชุกของผู้ป่วยโรคลมชักในประเทศไทยว่า คิดเป็นอัตรา 232.79 คนต่อแสนประชากร 2
การรักษาโรคลมชักด้วยยากันชักถือเป็นการรักษาหลักในปัจจุบัน ยาเฟนิโตอินเป็นหนึ่งในยากันชักหลักที่ใช้ในการรักษาโรคลมชักที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการชักและบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยมีจำหน่ายใน 3 รูปแบบ;100 มิลลิกรัม แคปซูลในรูปแบบปลดปล่อยอย่างช้า ๆ, 100 มิลลิกรัม แคปซูปในรูปแบบปลดปล่อยยาทันที และ 50 มิลลิกรัม ในรูปแบบยาเม็ด แต่ในขณะเดียวกันเป็นยานี้มีช่วงการรักษาแคบ ซึ่งการให้ข้อมูลในการใช้ยาที่ถูกต้องจากบุคลากรทางการแพทย์และความร่วมมือในการใช้ยาจากผู้ป่วยจึงมีความสำคัญเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับผลการรักษาที่ดี และลดการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
อีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญต่อการเกิดอุบัติเหตุของผู้ป่วยโรคลมชัก คือ ความไม่ร่วมมือในการรับประทานยากันชักตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งส่งผลทำให้ไม่สามารถการควบคุมการชักของผู้ป่วยได้ 4-5 ผู้ป่วยที่ควบคุมอาการชักไม่ได้จะมีความเสี่ยงจ่อการเสียชีวิตที่สูงกว่า เนื่องจากการเกิดอุบัติเหตุ การเสียชีวิตกะทันหัน หรือ การเกิดอาการชัก ต่อเนื่องที่ไม่สามารถหยุดได้ 6-7
จากผลการสำรวจการให้บริการรักษาผู้ป่วยโรคลมชักในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เขต 7 ของสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ) พบว่า โรงพยาบาลชุมชนไม่มียากันชักที่เหมือนกันกับโรงพยาบาลจังหวัด ทำให้เมื่อมีการส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลจังหวัดมารับการรักษาต่อเนื่องที่โรงพยาบาลชุมชน ผู้ป่วยโรคลมชักจะได้รับยาที่ไม่เหมือนเดิมตามที่แพทย์สั่ง ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับยาคนละยี่ห้อหรือเปลี่ยนตัวยาสำคัญ และทำให้ผู้ป่วยควบคุมอาการชักไม่ได้ การพิจารณาการเปลี่ยนยากันชักให้กับผู้ป่วยโดยการเลือกใช้ยาที่มีราคาถูกลงเพื่อประหยัดงบประมาณ จำเป็นจะต้องพิจารณาถึงผลกระทบทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคลมชักเนื่องจากการควบคุมอาการชักไม่ได้ เช่น การเกิดอุบัติเหตุ การนอนโรงพยาบาล การที่คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยลดลง หรือ การสียชีวิต ซึ่งปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ก่อให้เกิดต้นทุนทางการรักษาพยาบาลที่ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณมากกว่าที่คาดประมาณได้ทั้งสิ้น8
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อประเมินผลกระทบด้านภาระงบประมาณของแนวทางการใช้ยาเฟนิโทอินในรูปแบบการปลดปล่อยยาอย่างช้า ๆ เปรียบเทียบกับการใช้ยาเฟนิโทอินในรูปแบบการปลดปล่อยยาทันที สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคลมชักในประเทศไทย
ระเบียบวิธีและขอบเขตของการวิจัย
รูปแบบจำลอง
การประเมินภาระงบประมาณคิดคำนวณจากการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของการประเมินผลกระทบด้านงบประมาณที่ใช้ในการวิเคราะห์โดยโปรแกรมไมโครซอฟต์ เอ๊กเซล โดยใช้แผนภูมิต้นไม้ (Decision tree) ในการจำลองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคลมชักหลังจากที่เริ่มต้นการรักษาด้วยยาเม็ดแคปซูลเฟนิโทอิน โดยมีการจำลองสถาณการณ์ทั้งหมด 3 สถานการณ์ ดังรูปภาพที่ 1
รูปภาพที่ 1: แบบจำลองการประเมินภาระงบประมาณสถานการณ์ที่ 1—3

แบบจำลองการประเมินภาระงบประมาณสถานการณ์ที่ 1: ผู้ป่วยทุกรายใช้ยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินในรูปแบบการปลดปล่อยยาอย่างช้า ๆ (ER)

แบบจำลองการประเมินภาระงบประมาณสถานการณ์ที่ 2: ผู้ป่วยทุกรายใช้ยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินในรูปแบบการปลดปล่อยยาทันที (IR)

แบบจำลองการประเมินภาระงบประมาณสถานการณ์ที่ 3: การใช้ยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินทั้ง 2 รูปแบบตามสัดส่วนของตลาดยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินในปัจจุบัน โดยสัดส่วนของตลาดของยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินของรูปแบบการปลดปล่อยยาอย่างช้า ๆ เท่ากับ 73% และเป็นยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินรูป เท่ากับ 27% 9
กรอบเวลาที่ใช้ในแบบจำลอง
กำหนดกรอบเวลาในการวิเคราะห์งบประมาณครอบคลุมต้นทุนทางตรงทางการแพทย์เป็นระยะเวลา 1 ปี และครอบคลุมต้นทุนทางสังคมตลอดชีพของผู้ป่วย
ประชากรกลุ่มผู้ป่วยและจำนวนของอาการชักซ้ำทั้งหมด
จำนวนผู้ป่วยโรคลมชักที่นำมาคิดวิเคราะห์เป็นผู้ป่วยโรคลมชักที่เริ่มต้นการรักษาด้วยยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอิน คิดคำนวณ ดังตารางที่ 1 จำนวนผู้ป่วยโรคลมชักที่นำมาคิดวิเคราะห์เป็นผู้ป่วยโรคลมชักที่เริ่มต้นการรักษาด้วยยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอิน คิดคำนวณ ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ตัวแปรที่ใช้ในการคิดคำนวณผู้ป่วยโรคลมชักที่เริ่มต้นการรักษาด้วยยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอิน
ต้นทุนและการใช้ทรัพยากร
ในมุมมองของผู้รับผิดชอบด้านงบประมาณ (budget holder perspective) ซึ่งครอบคลุมต้นทุนตรงทางการแพทย์ (direct medical cost) ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาลและค่ายา รวมถึง ค่าเดินทาง และค่าอาหารของผู้ป่วยและญาติในการเดินทางไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล
ในมุมมองของสังคม (societal perspective) ซึ่งครอบคลุมทั้งต้นทุนตรงทางการแพทย์ (direct medical cost) ต้นทุนทางตรงที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ (Indirect medical cost) ได้แก่ ค่าเดินทางมารับการรักษา ค่าอาหารของผู้ป่วยและญาติในการไปรับการรักษา และต้นทุนทางอ้อม (indirect cost) ได้แก่ ต้นทุนจากการขาดงานของผู้ป่วยเนื่องจากการนอนโรงพยาบาล ต้นทุนการสูญเสียผลิตภาพการผลิตจากเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและความพิการ โดยต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากปีที่คำนวณ (ปี พ.ศ. 2560) จะถูกปรับให้เป็นต้นทุนในปีปัจจุบันด้วยดัชนีราคาผู้บริโภค (consumer price index) อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย 28
ตารางที่ 2 ตัวแปรที่ใช้ในการคิดคำนวณผลกระทบของอาการชักซ้ำในระหว่างการรักษาด้วยยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอิน
การวิเคราะห์ความไม่แน่นอน (Uncertainty analysis)
การศึกษานี้วิเคราะห์ความไม่แน่นอนของตัวแปรโดยใช้วิธีวิเคราะห์ความไวแบบทางเดียว โดยการวิเคราะห์หาค่าความแตกต่างของผลกระทบด้านงบประมาณเมื่อเปรียบเทียบกับแบบจำลองในสถานการณ์ที่ 1 เมื่อมีการแปรผันของตัวแปรที่ใช้ในแบบจำลองทีละตัว7 นำเสนอผลในรูป Tornado diagram โดยพิจารณาเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรในช่วง ± 20% และวิเคราะห์วิเคราะห์เพิ่มเติมในกรณีที่ตั้งสมมติฐานว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินในรูปแบบการปลดปล่อยยาทันทีจะให้ความร่วมมือในการรับประทานยาถูกต้อง 100%
ผลการศึกษา
ผลการวิเคราะห์ผลกระทบจากการใช้ยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอิน
จากจำนวนประชากรไทยที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ณ ปี พ.ศ. 2560 จำนวน 50,512,861 คน พบว่ามีผู้ป่วยโรคลมชัก จำนวน 363,693 รายต่อปี ผู้ป่วยโรคลมชัก 250,948 ราย เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยเป็นผู้ป่วยโรคลมชักที่เริ่มต้นการรักษาด้วยยากันชักจำนวน 225,502 ราย และเป็นผู้ป่วยจำนวน 95,613 ราย ที่รับรักษาด้วยยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอิน จำนวนผู้ป่วยที่ควบคุมอาการชักไม่ได้ จำนวนครั้งของการเกิดอาการชักตามความรุนแรงของอาการและเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ รวมถึงจำนวนผู้ป่วยที่อยู่ในวัยแรงงานเสียชีวิตและเกิดความพิการขณะรักษาตัวในโรงพยาบาล จากการวิเคราะห์ของทั้ง 3 สถานการณ์ ดังรูปภาพที่ 1 ตามลำดับ
ผลการวิเคราะห์ผลกระทบด้านงบประมาณ
หากพิจารณาผลกระทบด้านงบประมาณจากการใช้ยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินในมุมมองของผู้รับผิดชอบด้านงบประมาณและสังคมตามรูปแบบของแบบจำลองทั้ง 3 สถานการณ์ ดังตารางที่ 4 จากการจำลองสถานการณ์ที่ 1 มีผลกระทบด้านงบประมาณน้อยที่สุดจากทั้ง 2 มุมมอง โดยเมื่อพิจารณาในมุมมองของผู้รับผิดชอบด้านงบประมาณ พบว่างบประมาณของภาครัฐจะลดลงเท่ากับ $59,083,178 ถ้าผู้ป่วยทุกรายได้รับการรักษาด้วยยาในรูปแบบรูปแบบการปลดปล่อยยาอย่างช้า ๆ เปรียบเทียบกับการที่ผู้ป่วยทุกรายได้รับการรักษาด้วยยารูปแบบการปลดปล่อยยาทันทีในสถานการณ์ที่ 2 และเมื่อพิจารณาผลจากการที่ถ้าผู้ป่วยทุกรายได้รับการรักษาด้วยยาในรูปแบบการปลดปล่อยยาทันที เปลี่ยนมาใช้ยาในรูปแบบการปลดปล่อยยาอย่างช้า ๆ ตามอัตราส่วนของตลาดยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินในสถานการณ์ที่ 3 พบว่างบประมาณของภาครัฐจะลดลง เท่ากับ $15,952,458
หากพิจารณาในมุมมองของสังคมที่รวมถึงผลกระทบของต้นทุนทางอ้อมที่สูญเสียไปจากการหยุดงาน ความพิการและเสียชีวิตด้วยโรคก่อนวัยอันควร พบว่า การรักษาผู้ป่วยด้วยยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินในรูปแบบ ER phenytoin ตามสถานการณ์ที่ 1 จะทำให้งบประมาณลดลง เท่ากับ $61,641,979 และ $16,641,979 เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่ 2 และ 3 ตามลำดับ
ตารางที่ 3 ผลกระทบด้านงบประมาณจากการใช้ยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินสำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคลมชักในประเทศไทย

ตารางที่ 4 ผลกระทบด้านงบประมาณเปรียบเทียบในแบบจำลองทั้ง 3 สถานการณ์

สรุปผลการศึกษา
ผลการประเมินภาระด้านงบประมาณจากการใช้ยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินรูปแบบการปลดปล่อยยาอย่างช้า ๆ ในสถานการณ์ที่ 1 จะเป็นแนวทางที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อภาระด้านงบประมาณต่อปีน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่ 2 และ 3 ถึงแม้ว่าต้นทุนของค่ายาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินรูปแบบการปลดปล่อยยาทันทีนั้นจะน้อยกว่ารูปแบบการปลดปล่อยยาอย่างช้า ๆ ประมาณ 7 เท่าของค่ายาทั้งหมด แต่หากพิจารณารวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยรวมทั้งหมด ภาครัฐจะประหยัดงบประมาณจากการที่ผู้ป่วยโรคลมชักใช้ยาเม็ดแคปซูลเฟนิโตอินในรูปแบบการปลดปล่อยยาอย่างช้า ๆ เท่ากับ 59 ถึง 61 ล้านดอลลาร์ ต่อปี ในมุมมองของผู้รับผิดชอบด้านงบประมาณและสังคม ซึ่งหากมีการนำผลการศึกษานี้ไปต่อยอดในงานวิจัยและพัฒนาเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจะเป็นประโยนช์ในการเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาของระบบยากันชักของประเทศไทยต่อไป