การรักษาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อโรค COVID-19 ที่รุนแรงอย่างทันท่วงที ช่วยป้องกันผลลัพธ์ที่รุนแรงได้

15 Nov 2022
Dr. Asok Kurup
Dr. Asok Kurup
Dr. Alex  Soriano
Dr. Alex Soriano
Dr. Asok Kurup
Dr. Asok Kurup
Dr. Alex  Soriano
Dr. Alex Soriano
การรักษาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อโรค COVID-19 ที่รุนแรงอย่างทันท่วงที ช่วยป้องกันผลลัพธ์ที่รุนแรงได้
แม้ประชากรจะได้รับวัคซีนกันอย่างกว้างขวาง แต่โรค COVID-19 ยังคงเป็นปัญหาสุขภาพที่รุนแรงในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากยังมีสายพันธุ์ใหม่ที่น่ากังวล (variants of concern: VOCs) ระดับภูมิคุ้มกันที่ลดลง และการติดเชื้อภายหลังได้รับวัคซีน (breakthrough infections)

จากงานประชุมวิชาการในประเทศสิงคโปร์ที่ผ่านมา Dr. Asok Kurup แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษาด้านโรคติดเชื้อ ณ Mount Elizabeth Medical Centre ประเทศสิงคโปร์ และ Dr. Alex Soriano หัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อใน Hospital Clinic of Barcelona และดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ณ University of Barcelona ประเทศสเปน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงทั่วโลกตั้งแต่ช่วงเริ่มการระบาด COVID-19 และความท้าทายในการดูแลผู้ป่วย COVID-19 ที่มีความเสี่ยงสูงในแผนกผู้ป่วยหนัก อีกทั้งเน้นถึงการรักษาตั้งแต่แรกเริ่มเพื่อลดภาระของโรคต่อระบบดูแลสุขภาพ

การระบุผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะโรครุนแรง

ประชากรสิงคโปร์ส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนปฐมภูมิและเข็มกระตุ้นแล้ว แต่ยังมีกลุ่มเสี่ยงที่ตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่ดีพอ เช่น ผู้สูงอายุที่มีโรคร่วมมาก และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

"ในวิถีชีวิตแบบใหม่ (new normal) นั้นยังคงต้องเฝ้าระวัง VOCs ที่เกิดขึ้นใหม่ เนื่องจากในอนาคตสายพันธุ์เหล่านั้นอาจรุนแรงขึ้นและมีผู้ติดเชื้อมากขึ้นได้ อีกทั้งต้องสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าอย่างเร่งด่วนเพื่อหลีกเลี่ยงความอ่อนล้าจากการต่อสู้กับ COVID-19 สำหรับกลุ่มผู้เปราะบางควรอาศัยที่บ้านหรือสถานที่ดูแล โดยการลดจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาลและแผนกผู้ป่วยหนักนั้น ควรระบุผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรงตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อปรับวิธีการรักษาตามความเสี่ยง" Kurup กล่าว


ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค COVID-19 ที่รุนแรง

สําหรับปัจจัยเสี่ยงต่อโรคที่รุนแรงแบ่งออกเป็น ปัจจัยทางบุคคล สังคม และไวรัส ปัจจัยทางบุคคล ได้แก่ อายุที่มากขึ้น เพศชาย โรคอ้วน และโรคประจําตัว (รูปที่ 1) เช่น โรคทางปอด โรคในระบบหัวใจและหลอดเลือด ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และโรคไตเรื้อรัง [Lancet 2020;395:497-506; Lancet 2020;395:1054-1062; JAMA Intern Med 2020;180:934-943]

รูปที่ 1 ความเสี่ยงของการเข้ารับรักษาในโรงพยาบาลจากโรค COVID-19 ในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเทียบกับผู้ที่ไม่มี



"ในบางพื้นที่ ปัจจัยทางสังคมและโครงสร้าง เช่น ความยากจน และการเหยียดเชื้อชาติ อาจเพิ่มความเสี่ยงแก่กลุ่มคนชายขอบมากขึ้น ส่วนปัจจัยทางไวรัส เช่น ขนาด inoculum และชนิดของสายพันธุ์ ก็มีผลต่อความเสี่ยงเช่นกัน" Kurup กล่าวเสริม

การจัดการกับโรค COVID-19 ในแผนกผู้ป่วยหนัก

ในแผนกผู้ป่วยหนัก ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงต่อการเกิด thrombo-inflammatory disease ซึ่งการบาดเจ็บของเยื่อบุผนังหลอดเลือดและภาวะ hypercoagulability ทำให้โรค COVID-19 ที่รุนแรงแย่ลงไปอีก และความผิดปกติของเยื่อบุผนังหลอดเลือดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อวัยวะล้มเหลว [N Eng J Med 2020;383:120-128; CMAJ 2020;192(40):E1156-E1161; Intensive Care Med 2021;47:86-89]

การรักษาจึงมีความซับซ้อนแตกต่างจาก acute respiratory distress syndrome (ARDS) ทั่วไป ซึ่งภาวะปอดอักเสบจาก COVID-19 มี phenotypes แตกต่างกัน (H vs L type) จึงจำเป็นต้องรักษาแบบเฉพาะราย และเลือก rescue treatment ที่เหมาะสม [Crit Care 2020:24:154; JAMA 2020;323:2329-2330; Eur J Anaesthesiol 2022;39:445-451]

การรักษาตั้งแต่แรกเริ่มช่วยชะลอการลุกลามของการติดเชื้อ

อาการทางคลินิกของโรค COVID-19 นั้นมีตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงโรคปอดอักเสบจากไวรัสที่ลุกลามจนอันตรายถึงชีวิต "ในยุคของ Omicron ผู้ป่วยประมาณ 85-95% ไม่มีอาการ/มีแบบไม่รุนแรง ในขณะที่ 5-10 % นั้นอยู่ในระดับปานกลาง/รุนแรง" Soriano กล่าว

ไวรัสในทางเดินหายใจเพิ่มจำนวนได้ไว ทำให้การติดเชื้อรุนแรงและรวดเร็ว ปริมาณไวรัสที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นการตอบสนองต่อการอักเสบเพื่อควบคุมการเพิ่มจำนวนของไวรัส "ช่วงที่เหมาะสมสำหรับการลดปริมาณไวรัสคือภายใน 5 วันแรกที่ไวรัสเริ่มเพิ่มจำนวน" Soriano กล่าว ในประชากรส่วนใหญ่หลังได้รับวัคซีน ไวรัสจะยังเพิ่มจำนวนต่อไปอีก 5-10 วัน ซึ่งไปกระตุ้นการอักเสบจากการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่เพียงพอจะต่อสู้กับการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยที่มีแนวโน้มติดเชื้อรุนแรง (ผู้สูงวัย มีภาวะโรคร่วม และมีการกลายพันธุ์ของยีนหรือ autoantibodies) มักมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งทำให้ไวรัสเพิ่มจำนวนได้นานมากกว่า 10 วัน ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะลุกลามไปสู่โรคปอดอักเสบ ภาวะ ARDS และการเกิดลิ่มเลือดมากขึ้น (รูปที่ 2) [Clin Infect Dis 2021;72:1467-1474]

รูปที่ 2 การเปลี่ยนแปลงของ SARS-CoV-2 ในผู้ป่วย COVID-19


"ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง การรักษาด้วยยาต้านไวรัสตั้งแต่แรกเริ่มจะช่วยชะลอหรือหยุดการลุกลามของการติดเชื้อจากระดับเล็กน้อย/ปานกลางสู่ระดับรุนแรง หรือจากระดับปานกลาง/รุนแรงไปสู่ภาวะวิกฤตของโรค COVID-19" Soriano เน้นย้ำ

Nirmatrelvir/ritonavir สําหรับโรค COVID-19 ที่ไม่รุนแรงถึงปานกลาง

การศึกษา cohort แสดงให้เห็นความสําคัญของการให้ยาต้านไวรัสอย่างทันท่วงทีในผู้ป่วย COVID-19 ซึ่งวิเคราะห์โดยแบ่งผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ที่เข้ารับรักษาในโรงพยาบาลที่มีระดับของโรคไม่รุนแรง/ปานกลาง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการลุกลามไปสู่โรครุนแรง กลุ่มแรกได้รับ nirmatrelvir/ritonavir ภายใน 5 วันแรกนับจากเริ่มมีอาการ (รักษา ≤5 วัน) อีกกลุ่มหนึ่งได้รับ nirmatrelvir/ritonavir หลังจากเริ่มมีอาการ 5 วัน (รักษา >5 วัน) และกลุ่มที่ 3 ไม่ได้รับยาต้านไวรัส (ไม่ได้รับการรักษา) หลังปรับตัวแปรด้านระดับความรุนแรง พบว่าการใช้ nirmatrelvir/ritonavir สัมพันธ์กับเวลาในการตรวจพบผลลบจาก RT-PCR ที่สั้นลงอย่างมีนัยสําคัญ (10 วันเทียบกับ 17 วัน ในผู้ป่วยที่ได้รับยา ≤5 วันและไม่ได้รับการรักษาตามลําดับ) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่มที่ "ไม่ได้รับการรักษา" และ "ได้รับการรักษา >5 วัน" [Clin Infect Dis 2022;ciac600]

ในการศึกษา phase II/III EPIC-HR (Evaluation of Protease Inhibition for COVID-19 in High-Risk Patients) ในวัยผู้ใหญ่ที่มีอาการของโรค ไม่ได้รับวัคซีน และไม่เข้ารับรักษาในโรงพยาบาล ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการลุกลามไปสู่โรค COVID-19 ที่รุนแรง พบว่า nirmatrelvir/ritonavir ช่วยลดความเสี่ยงในการเข้ารับรักษาในโรงพยาบาลจากโรค COVID-19 หรือการเสียชีวิตจากสาเหตุใด ๆ ได้ 87.8% ซึ่งพบนัยสําคัญ (0.77% เทียบกับ 6.31% ในกลุ่มยาหลอก; p<0.001) [N Engl J Med 2022;386:1397-1408]

"จากการวิเคราะห์กลุ่มย่อยพบว่า ผลลัพธ์สอดคล้องกันในแต่ละกลุ่ม โดยพบแนวโน้มที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของ nirmatrelvir/ritonavir เหนือกว่ายาหลอก ในกลุ่มย่อยของผู้ป่วยสูงวัย (≥65 ปี เทียบกับ <65 ปี) มีค่าดัชนีมวลกายสูง (≥30 kg/m2 เทียบกับ 25-30 kg/m2 เทียบกับ <25 kg/m2) มีปริมาณไวรัสที่สูงกว่าเทียบกับปริมาณไวรัสที่น้อยกว่า และจํานวนโรคร่วมที่มากกว่า ณ ช่วงเริ่มต้นการศึกษา (≥2 เทียบกับ <2)" Soriano กล่าว

อีกการศึกษาของ nirmatrelvir/ritonavir ในยุคของ Omicron ที่ใช้ข้อมูลแบบ real-world จากฐานข้อมูลของ Israel Clalit Health Services (CHS) และ Israeli Ministry of Health (MOH) แสดงให้เห็นว่า combination therapy สัมพันธ์กับอัตราการเกิด COVID-19 ที่รุนแรงหรือการเสียชีวิตที่ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ (HR 0.54, 95% CI 0.39-0.75) อีกทั้งพบว่ามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ที่มีโรคร่วมของระบบประสาทหรือหลอดเลือดหัวใจ (interaction p<0.05 ในทุกกลุ่ม) [Clin Infect Dis 2022;ciac443] จากผู้ป่วยที่เข้าร่วม 180,351 ราย พบว่า 2.6% ได้รับ nirmatrelvir/ritonavir และ 75.1% ได้รับวัคซีน COVID-19 อย่างเพียงพอ

บทสรุป

o   โรค COVID-19 สัมพันธ์กับการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ

o   การระบุและรักษาผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรง ช่วยป้องกันการเข้ารับรักษาในโรงพยาบาลและแผนกผู้ป่วยหนัก

o   การรักษาด้วย nirmatrelvir/ritonavir อย่างทันท่วงทีในผู้ป่วยนอก ช่วยหยุดการลุกลามของการติดเชื้อ SARS-CoV-2 จากระดับไม่รุนแรง/ปานกลางสู่ระดับรุนแรง และจากระดับปานกลาง/รุนแรงไปสู่ขั้นวิกฤต